

Dream
(ฝัน)
“ฝัน” สิ่งนี้คงเป็นสิ่งที่ทุกคนคงต้องเคยพบเจอกันมาบ้างไม่ได้หมายถึงความฝันในวัยเยาว์
แต่หากหมายถึงความฝันครั้นอยู่ในห่วงแห่งการนอนหลับใหล มีทั้งฝันดี มีทั้งฝันร้าย บางครั้งก็ฝันเรื่องเดิมซ้ำ ๆ หรือบางคนรู้ตัวว่าฝันแต่อาจกลับจำความฝันนั้นไม่ได้ ตามความเชื่อ ความฝัน ถูกนำไปตีความตามความเชื่อ ดังเช่นความเชื่อเรื่องความฝันว่ามีมานานกว่า 1,000 ปี แล้วในยุคกรีก เข้าเชื่อว่าสารจากพระเจ้าแล้วความเชื่อทางความฝัน ทางอเมริกา แม็กซิกัน หรือบางชนเผ่าชาติพันธุ์ ว่าความฝันนี้คือโลกอีกโลกหนึ่งที่เราไปเจอขณะที่เราหลับ จากความเชื่อดังกล่าวนำไปสู่การสร้างเครื่องรางของขลัง “ตาข่ายดักฝัน"
ตาข่ายดักฝัน
มนุษย์ทุกคนล้วนเคยฝันเมื่อยามหลับ ความฝันมักเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งที่เหมือนจริงและเกินจริง หากเป็นฝันดีก็สามารถสร้างความอิ่มเอมใจให้กับผู้ฝันได้เมื่อยามตื่น แต่หากเป็นฝันร้ายก็สามารถสร้างความวิตกกังวลได้เช่นกัน
แม้ว่าในทางวิทยาศาสตร์จะอธิบายว่า ความฝัน เป็นเรื่องของกลไกการทำงานของสมองประเภทหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับจิตใต้สำนึกของมนุษย์* แต่ถึงกระนั้นผู้คนจำนวนมากในหลายชาติ ต่างศาสนา หลากวัฒนธรรม ต่างก็มีความเชื่อเกี่ยวกับความฝันมาตั้งแต่โบราณกาล ตัวอย่างเช่น ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าความฝันคือการมองเห็นอนาคตและมีความเกี่ยวโยงกับชีวิตหลังความตาย ชาวกรีกและโรมันโบราณเชื่อว่าความฝันคือสารจากพระเจ้า ชาวจีนในยุคก่อนเชื่อว่าความฝันคือหนทางการติดต่อสื่อสารกับบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ หรือแม้แต่ในสังคมไทยเองก็มีความเชื่อเกี่ยวกับความฝันอยู่ไม่น้อย ด้วยเชื่อกันว่าความฝันคือลางบอกเหตุที่สามารถนำไปสู่การตีความเป็นคำทำนายทายทักเหตุการณ์ในอนาคตได้
สำหรับชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกัน หรือที่เรียกกันว่าชาวอินเดียนแดงนั้นเชื่อว่า เมื่อท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดแห่งรัตติกาล ละอองความฝัน (ทั้งฝันดีและฝันร้าย) จะปลิวอยู่ในอากาศและพร้อมร่วงลงสู่ใครก็ตามที่อยู่ในห้วงแห่งนิทรา ซึ่งในยามหลับนี้เป็นเวลาที่มนุษย์มีการระแวดระวังภัยน้อยที่สุด จึงเป็นเหตุให้บรรดาสิ่งชั่วร้ายและเหล่าภูตผีปีศาจอาศัยโอกาสนี้เข้าคุกคามโดยการแฝงตัวมาในรูปแบบของฝันร้าย ด้วยเหตุนี้ชาวอินเดียนแดงจึงได้ประดิษฐ์เครื่องรางที่ช่วยคุ้มครองป้องกันผู้คนโดยเฉพาะทารกและเด็กให้แคล้วคลาดจากการอันตรายดังกล่าว

ในการแสดงรีไซทอลครั้งนี้จะแสดงให้เห็นความเชื่อโยงการแสดงดนตรีที่สะท้อนถึงแนวคิดทางการฝัน ความเชื่อ ว่าในแต่ละบทเพลงสามารถตีความหมายให้สอดคล้องกับแนวคิดของการฝันได้อย่างไร โดยจะเปิดป ระสบการณ์ผู้ชมจากการชวนจินตนาและกลับมามองตัวเองว่าการฝันของตนเองว่าเป็นอย่างใด
Concept:
.png)
Repertoire

Ballad In Blue
Ballad in Blue (เดิมชื่อเพลง Blues for Lovers) เป็นภาพยนตร์เพลงแนวดราม่าของอังกฤษในปี พ.ศ. 2508 นำแสดงโดยตำนานอาร์แอนด์บี เรย์ ชาร์ลส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานเรื่องสุดท้ายที่กำกับโดย Paul Henreid

Grand concerto
ตีพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2440 (พร้อมเปียโน โน้ตเพลงและส่วนประกอบของดนตรีประกอบอาจไม่ได้เผยแพร่จนกว่าจะถึงเวลาต่อมา) ผู้แต่ง ช่วงเวลา โรแมนติกชิ้นสไตล์โรแมนติกการบรรเลงทรอมโบน และวงออร์เคสตรา

Andante et allegro
Andante et Allegro สำหรับทรอมโบนและเปียโน (ออร์เคสตรา) แต่งขึ้นสำหรับการแข่งขันทรอมโบนประจำปีที่ National Conservatory ในปารีสในปี 1935 และอุทิศให้กับศาสตราจารย์ Henri Couillaud Andante ที่มีเนื้อร้องไพเราะให้โอกาสในการใช้ถ้อยคำที่สื่ออารมณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม ในขณะที่ท้าทายนักเป่าทรอมโบนด้วยหุ่นที่คล่องแคล่วว่องไวแต่นุ่มนวลและเลกาโต Allegro ที่ตัดกันช่วยระบายความเป็นไปได้ที่ยอดเยี่ยมและชาญฉลาดของเครื่องดนตรี

Fantasy
Fantasy ศตวรรษที่ 20 (พ.ศ. 2535 แก้ไข พ.ศ. 2550) การเคลื่อนไหวเดี่ยวทำงานในสี่ส่วนที่แตกต่างกัน (ช้า เร็ว ช้า เร็ว)

Misty
Misty" เป็นมาตรฐานดนตรีแจ๊สที่เขียนขึ้นในปี 1954 โดยนักเปียโน Erroll Garner เขาแต่งเพลงนี้เป็นเพลงบรรเลงในรูปแบบ 32 บาร์แบบดั้งเดิม และบันทึกเสียงสำหรับอัลบั้ม Contrasts เนื้อเพลงถูกเพิ่มในภายหลังโดย Johnny Burke ปรากฏในอัลบั้ม Heavenly ของ Johnny Mathis ในปี 1959 และการบันทึกนี้ขึ้นถึงอันดับ 12 ในชาร์ต Pop Singles ของสหรัฐอเมริกาในปลายปีนั้น มันกลายเป็นเพลงประจำตัวของ Mathis ไปแล้ว
.jpg)
Fly Me to the Moon
Fly Me to the Moon" มีชื่อเดิมว่า "In Other Words" เป็นเพลงที่เขียนในปี 1954 โดย Bart Howard บันทึกเสียงครั้งแรกในปี 1954 โดย Kaye Ballard เวอร์ชันปี 1964 ของ Frank Sinatra มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับภารกิจ Apollo ไปยังดวงจันทร์